วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

ความตระหนี่เป็นภัยในวัฏฏะ

บัดนี้ถึงเวลาธรรมกาย ที่เราจะได้เจริญสมาธิภาวนา กลั่นกาย วาจา ใจของเรา ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึก อันสูงสุดของพวกเราทั้งหลาย สิ่งที่เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข และความสำเร็จในชีวิตของเราทุกคน มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือบุญซึ่งจะเป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะเป็นผู้ที่สมบูรณ์ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ มีโอกาสทำความดี ได้พบ พระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมของพระองค์ จนกระทั่งได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม และบรรลุถึงความรู้แจ้งอันสูงสุด คือ มรรคผลนิพพานเช่นเดียวกับพระองค์ ทั้งหมดนี้ ล้วนต้องอาศัยบุญที่สั่งสมเอาไว้ทั้งสิ้น ดังนั้น ในชีวิตนี้ควรรีบประพฤติธรรม เก็บเกี่ยวบุญกุศลแก่ตนเองให้ มากที่สุดนะจ๊ะ

ต่อจากนี้ ให้ทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวา จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ หลับตาของเราเบาๆ หลับพอสบายๆ คล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย แล้วก็มาปรับที่ใจของเราใจที่เหมาะสมต่อการเข้าถึงธรรมนั้น จะต้องเป็นใจที่เป็นกลางๆ ไม่ผูกพันกับสิ่งใดทั้งสิ้นในโลก ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต หรือที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต ให้ปลดปล่อยวาง ให้ใจว่างเปล่าจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น

ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น นึกถึงสรณะ ที่พึ่งที่ระลึก คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนะทั้งสามนี้ สถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ซึ่งถ้าเราสมมติขึงเส้นเชื๗อกจากสะดือทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุมาด้านซ้าย อีกเส้นหนึ่ง เส้นเชือกทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมาสองนิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ เอาใจของเรามาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ แล้วนึกถึงดวงแก้วกลมรอบตัว ที่ใส สะอาด บริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา ให้นึกอย่างเบาๆ นึกอย่างสบายๆ ค่อยๆ นึกด้วยใจที่เยือกเย็น จำไว้ให้ดีนะ นึกเบาๆ ง่ายๆ สบายๆ แล้วก็ใจเย็นๆ ค่อยๆ นึกให้ ต่อเนื่องกันไป อย่างสบายๆ อย่าลืมคำนี้นะจ๊ะ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย ชาดกว่า......

บุคคลให้ทานไม่ได้ ด้วยเหตุผล อย่าง คือ ความตระหนี่ ความประมาท บัณฑิตผู้รู้แจ้ง เมื่อต้องการบุญ พึงให้ทานเถิด

คนผู้ตระหนี่กลัวความยากจนจึงไม่ให้อะไรๆ แก่ผู้ใดเลย ความกลัวยากจนนั่นแหละ จะเป็นภัยแก่ผู้ไม่ให้ คนตระหนี่ย่อมกลัวความอดอยากข้าวนํ้า ความกลัวนั่นแหละ จะกลับมาถูกต้องคนพาล ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าเพราะเหตุนั้นบัณฑิตพึงครอบงำมลทิน กำจัดความตระหนี่เสียแล้ว พึงให้ทานเถิด เพราะบุญ ย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เมื่อจะสร้างบารมี ท่านจะคำนึงถึงทานบารมีก่อนเป็นเบื้องต้น เพราะทานบารมีนั้น จะส่งผลให้มีโภคทรัพย์สมบัติ อำนวยความสะดวกสบายให้เราได้สร้างบารมีอย่างอื่นยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งบารมีทั้ง ๓๐ ทัศเต็มเปี่ยม ก็จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพาน

หลวงพ่อวัดปากนํ้า ภาษีเจริญ ท่านเคยสอนเอาไว้เสมอ ว่าทานบารมีนี้อย่าได้ขาด ถ้าหากขาดทานบารมีแล้ว จะสร้างบารมีอย่างอื่นมันก็ไม่สะดวกตัวท่านเองได้สร้างทานบารมีมาตั้งแต่บวช เมื่อบวชใหม่ๆ ออกบิณฑบาต ท่านขาดแคลนเกี่ยวกับเรื่องอาหารหวานคาว ไม่ค่อยมีคนมาใส่บาตรกับท่าน แต่ท่านก็ ยังออกบิณฑบาตไปตามปกติถึง วัน วันที่สามก็ได้ข้าวมาปั้นหนึ่ง กับกล้วยผลหนึ่ง กลับมาแล้วก็ตั้งใจที่จะลงมือขบฉัน พอดีเหลือบไปเห็นสุนัขแม่ลูกอ่อน ผอมโซทีเดียว ท่านก็คิดในใจว่า มันคงหิวเช่นเดียวกับที่เรากำลังหิว จึงแบ่งปันอาหารที่ได้มาในวันนั้น อย่างละครึ่ง ให้ข้าวไปครึ่งปั้น กล้วยครึ่งผลแล้วท่านก็อธิษฐานจิต

ในวันนี้ เราก็ถึงที่สุดแห่งความหิว สุนัขแม่ลูกอ่อนก็ถึงที่สุดในความหิว ที่สุดต่อที่สุดมาเจอกัน เราจึงได้สร้างมหาทานบารมี ขออานุภาพแห่งมหาทานบารมีนี้ จงอย่าได้อดอยากยากจนอีกต่อไปเลย

และด้วยอานุภาพแห่งมหาทานบารมีในคราวนั้น เพียงแค่ข้าวครึ่งปั้น กับกล้วยครึ่งผล ทำให้ท่านสมบูรณ์ไปด้วยปัจจัย ได้บำรุงเลี้ยงภิกษุสามเณร ถึงวันละ ๕๐๐ รูป เป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งตลอดชีวิตของท่าน เพราะฉะนั้นท่านจึงย้ำบ่อยๆ ว่า จะทำบารมีอะไรก็ทำไปเถิด แต่อย่าขาดทานบารมี เพราะทานบารมีนี้จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราสร้างบารมีอย่างอื่นได้อย่างสะดวกสบาย

ความประมาทและความตระหนี่ เป็นศัตรูร้ายกาจที่ขวางหนทางแห่งการสร้างความดี ตัดบุญบารมีของเรา ทำให้เราเป็นผู้มีบุญน้อย เมื่อบุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต ถ้ามีบุญน้อย อุปสรรคก็มาก แต่ถ้าหากว่า มีบุญมาก อุปสรรคก็น้อย ดังนั้นบุญจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตของพวกเรา ที่ยังต้องสร้างบารมีเพื่อไปให้ถึง จุดหมายปลายทาง ให้บรรลุมรรคผลนิพพาน เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย

ในการทำบุญนั้น เราจะต้องทำด้วยตนเอง และชักชวนผู้อื่นให้มาทำด้วย ทำหน้าที่เป็นยอดกัลยาณมิตรให้กับตนเองและผู้อื่น ภพชาติต่อไป เวลามาเกิด ก็จะเป็นผู้ที่ร่ำรวยและมีพวกพ้องบริวารมากมาย ถ้าหากว่าเราทำบุญเองแต่ไม่ได้ชวนคนอื่น ก็จะไปเกิดเป็นผู้ที่รวยทรัพย์แต่ว่าขาดพวกพ้องบริวาร เมื่อไม่มีพวกการงานก็ไม่สะดวก ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทำบุญ ได้แต่บอกบุญคนอื่น ก็จะไปเกิดเป็นคนยากจน แต่ว่ารวยพวกพ้องบริวาร ถ้าหากว่า ตัวเองก็ไม่ได้ทำบุญ แถมยังห้ามผู้อื่นไม่ให้ทำบุญอีก ก็จะไปเกิดเป็นคนยากจนเข็ญใจ ญาติพี่น้องพวกพ้องบริวารก็ไม่มี ไปไหนมีแต่คนรังเกียจ ชีวิตต้องระหกระเหเร่ร่อน มีความเป็นอยู่ที่ลำบากยากเข็ญ

เหมือนดังเรื่องของอานันทเศรษฐี ที่ร่ำรวยมีสมบัติมากถึง ๘๐ โกฏิ แต่ว่าเป็นคนที่ตระหนี่ไม่ทำบุญ แล้วยังห้ามลูกหลานทุกคนไม่ให้ทำบุญอีกด้วย เขาจะสอนลูกหลานวันละ เวลา ว่าอย่าให้ทานเด็ดขาด เพราะทรัพย์ที่มีอยู่จะหมดสิ้นไป เหมือนยาหยดตา ที่หยดทีละหยอดๆ ยังหมดได้ แต่ให้ดูอย่างการพอกพูนของจอมปลอก ว่าเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน วันละเล็กวันละน้อย แล้วในที่สุด ก็เป็นจอมปลวกใหญ่โต ดังนั้น ถ้าหากจะครองเรือนให้ดี ต้องสะสมทรัพย์ให้มาก อย่าเอาไปให้ทาน

เขาได้พร่ำสอนผิดๆ อย่างนี้ทุกวัน และตนเองก็ทำอย่างนั้นด้วย ไม่ได้ ให้ทานเลย พอละโลกไปแล้ว ก็ไปบังเกิดในครรภ์ของหญิงขอทาน ขณะที่อยู่ในครรภ์ ไม่ว่ามารดาจะไปขอทานที่ไหน ก็จะพลอยอดๆ อยากๆ ไปด้วย เพราะกระแสแห่งความตระหนี่นั้น ผลักสมบัติออกไป แล้วก็ดึงดูดวิบัติเข้ามา ถึงอยู่ในหมู่ของคนขอทานด้วยกัน ก็ทำให้ขอทานคนอื่นๆ ขอไม่ได้ ในที่สุดก็ถูกกลุ่มพวกขอทานด้วยกันขับออกจากหมู่เมื่อคลอดแล้ว เขาก็เกิดมาเป็นคนพิกลพิการไม่สมประกอบ หน้าตา จมูกปาก มือเท้าพิการไปหมด เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น น่าเกลียดน่ากลัว เป็นที่รังเกียจของสังคม พ่อแม่จึงปรึกษากันว่า ตั้งแต่ลูกคนนี้มาเกิด เราพบแต่ความอัตคัดขัดสน เห็นทีเราต้องแยกทางกันแล้ว แล้วก็ส่งกระเบื้องใบหนึ่งให้ลูก ให้ออกหาเลี้ยงชีพเอง เด็กน้อยก็ตะเกียกตะกายขอทานช่วยเหลือตนเองเรื่อยมา จนมาถึงบ้านของตนเองในอดีต ก็ระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นมหาเศรษฐีอยู่ในบ้านหลังนี้ จึงเดินเข้าไปในบ้าน พอลูกของเศรษฐีซึ่งคือหลานของตนเห็นเข้าก็ตกใจ จึงให้คนใช้ขับไล่ออกไปวันนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระอานนท์ เสด็จผ่านมา พระองค์ก็ชี้ให้ดูเด็กขอทาน แล้วตรัสว่าอานนท์เด็กหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้น คือ อานันทเศรษฐีแล้วก็บอกเรื่องนี้ ให้ท่านเศรษฐีทราบ ว่านี่คือพ่อในอดีตชาติ ท่านเศรษฐีทูลถามว่า แล้วจะทราบได้อย่างไร พระพุทธองค์จึงให้เด็กคนนั้นไปชี้ที่ฝังขุมทรัพย์ทั้ง แห่ง ซึ่งแม้แต่ท่านเศรษฐีเองก็ไม่รู้ว่าเคยมีสมบัติมากมายเหล่านี้ฝั่งอยู่ พอขุดไปก็พบว่ามีสมบัติอยู่จริงๆ ท่านเศรษฐีจึงเกิด ความสลดใจ นึกเวทนาในกรรมที่อดีตพ่อของตนได้ทำเอาไว้ และก็เห็นโทษภัยในความตระหนี่ ว่าเป็นกิเลสที่คอยบังคับให้สร้างกรรม เมื่อทำแล้วก็มีวิบาก คือความทุกข์ทรมานเป็นผล ต้องอดอยากยากจน หน้าตาอัปลักษณ์ น่าเกลียดน่ากลัวเพราะฉะนั้น ความตระหนี่เป็นศัตรูร้ายกาจ ที่ปล้นสมบัติของเราไปหมด ปล้นความสะดวกสบายในหนทางแห่งการสร้างบารมี ความตระหนี่เป็นศัตรูอันตรายทีเดียว ที่ปล้นสมบัติจักรพรรดิของเราไป แต่ถ้าเราไม่ตระหนี่ สร้างมหาทานบารมีอย่างเต็มที่ ทำถูกเนื้อนาบุญ เราจะมีสิทธิ์ได้ใช้สมบัติจักรพรรดิ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้สมบัติจักรพรรดิกันทั้งนั้น ถ้าเราเอาชนะความตระหนี่ที่อยู่ใจของเราและของมวลมนุษยชาติ ความตระหนี่นี่ เป็นภัยอย่างร้ายแรงทีเดียว ความหวงแหนเสียดายทรัพย์ จนกระทั่งกลายมาเป็น ความโลภในภายหลัง เป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ เป็นอันตรายต่อโลก ความโลภ ไม่รู้จักแบ่งปัน ทำให้เกิดความอัตคัดขาดแคลน ความอดอยากยากจนเกิดขึ้น ก็เพราะความตระหนี่นี่แหละ

การที่เราจะได้สมบัติมานั้น มีทางเดียวก็คือ ต้องเป็นผู้ให้ไปก่อน ด้วยการสละออกบริจาคทาน ไม่หวงแหน ต้องให้เท่านั้น จะให้กับสัตว์เดรัจฉานก็ดี จะให้กับมนุษย์ ที่ทุศีลก็ดี หรือจะให้กับมนุษย์ผู้มีศีล ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็ดี จนกระทั่งให้ผู้ที่ได้ฌานสมาบัติ หรือโคตรภูบุคคล ตลอดจนพระอริยเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ถ้าให้ถูกแหล่งแห่งบุญ ถูกทักขิไณยบุคคล บุญนั้นก็ยิ่งเกินควรเกินคาดเป็นอสงไขยอัปปมานัง นับกันไม่ไหวคำนวณกันไม่ได้ ว่าจะได้บุญสักเท่าไหร่ แต่ก็เกินควรเกินคาด เกินกว่าจินตนาการที่มนุษย์จะไปถึง เป็นอจินไตย คือนึกไม่ออกเลยว่าจะได้บุญมากขนาดไหนเราจะสมบูรณ์หมดทุกอย่าง จะมีสมบัติพรั่งพร้อมบริบูรณ์ ถ้าไม่มีความตระหนี่หวงแหน และทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญถูกทักขิไณยบุคคล เมื่อสร้างบุญไปแล้ว บุญกุศลก็เกิดขึ้นมากมายมหาศาล จะมีโภคทรัพย์สมบัติให้ได้สร้างบุญต่อไปอีก เป็นสมบัติต่อสมบัติ บุญต่อบุญ จากสมบัติเล็กๆ ก็เป็นสมบัติใหญ่ขึ้น จากต้องทำมาหากิน ทำมาค้าขายด้วยความยากลำบาก ก็ไม่ต้องมาทำมาหากินแล้ว สร้างบารมีอย่างเดียว พอบุญบารมีเต็มเปี่ยม สมบัติจักรพรรดิก็จะเกิดขึ้นเลยเหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านมีขุมทรัพย์ทั้ง เกิดขึ้น มีต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้น เพื่อที่จะบันดาลทุกสิ่งให้สมปรารถนา มีปราสาทแก้ว มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่องเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สมบัติจักรพรรดิใครๆ ก็สามารถที่จะ ครอบครองได้ ถ้าไม่มีความตระหนี่ และทำถูกเนื้อนาบุญ ฉะนั้นเราต้องไปเอาสมบัติจักรพรรดิมาใช้สร้างบารมีให้ได้ แล้วก็จะต้องให้มวลมนุษยชาติเลิกอดอยากยากจน เลิกอัตคัด ขาดแคลนสมบัติ ให้เขาได้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย บารมีจะได้เต็มเปี่ยมไม่ต้อง มัวทำมาหากิน สมบัติก็รอคอยอยู่แล้ว จะได้เอาไว้สร้างบารมีต่อไป ให้บารมีทั้ง ๑๐ ทัศเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ กระทั่งสร้างยิ่งๆ ขึ้นไปเป็นอุปบารมี เป็นปรมัตถบารมี บารมี ๓๐ ทัศครบถ้วนบริบูรณ์ ได้บรรลุถึงที่สุดแห่งธรรม บรรลุเป้าหมายการสร้างบารมีกันทุกๆ คน

--(ซ้ำ พูดคล้าย ๆกัน)

ในสมัยพุทธกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปกับพระอานนท์ ท่านได้ชี้ให้ดู เด็กขอทานคนหนึ่ง แล้วตรัสกับพระอานนท์ว่า เด็กขอทานที่มีร่างกายอัปลักษณ์ผอมโซ น่าเกลียด เหมือนปิศาจคลุกฝุ่นนั้น คือ อานันทเศรษฐีในภพชาติก่อน ที่มีสมบัติมากแต่เป็นคนตระหนี่ ได้สั่งห้ามบุตรหลานทุกคนไม่ให้บริจาคทาน ให้หวงแหนทรัพย์เอาไว้ เพราะกลัวทรัพย์จะหมดไป และได้ฝังทรัพย์ไว้ แห่งเมื่อละโลกไปแล้ว ความตระหนี่ที่เข้าไปครอบงำอยู่ในจิตใจ หุ้มห่อ เห็น จำ คิด รู้ อยู่ในกลางกายละเอียดของอานันทเศรษฐี ก็ดึงดูดให้มาเกิดในตระกูลของคนจัณฑาล ฐานะยากจน หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน เมื่ออยู่ในครรภ์มารดา ก็ทำให้มารดาเดือดร้อน ไม่ว่าจะไปขอทานที่ไหนก็ขอไม่ได้ พอคลอดออกมา วันไหนที่พ่อแม่พาเขาไปขอทานด้วย วันนั้นก็ขอไม่ได้อีกเหมือนกัน จากเดิมที่จนอยู่แล้ว กระแสความตระหนี่ของลูกยิ่ง ส่งผลให้เป็นคนจนหนักเข้าไปอีก พ่อแม่จึงปรึกษากันว่าทำไมแต่ก่อนเราขอทานได้ ไม่ว่าจะผ่านไปทางไหนก็มีคนเมตตาสงสาร ให้อาหารมาพอยังชีพได้ แต่พอลูกคนนี้เกิดมา ไปที่ไหนก็อัตคัดตลอดเวลาแต่ก็ยังอดทนเลี้ยงดูลูกเรื่อยมา จนกระทั่งลูกเติบโตสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ จึงให้แยกทางออกไปขอทานเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง ลูกก็เลยต้องตะเกียกตะกาย ไปขอทานเลี้ยงชีพแม้จะไปทางไหนก็ตาม ก็ไม่ค่อยได้อาหาร เพราะกระแสแห่งความ ตระหนี่ที่ซ้อนอยู่ในกลางกายนั่นแหละ ผลักดันสมบัติและดึงดูดวิบัติเข้าหาตัวตลอดเวลา กระแสแห่งความตระหนี่นี่นะจ๊ะ ถ้ามองไปตรงกลางด้วยธรรมจักขุของธรรมกาย เราจะเห็นมันเป็นดวงสีดำๆ เรียกว่ากัณหธรรมธรรมดำ ครอบงำอยู่ ครอบงำบังคับในเห็น ในจำ ในคิด ในรู้ ให้เกิดความหวงแหนทรัพย์ เสียดายทรัพย์ และให้เกิดความโลภ มันบังคับกันอยู่ในกลางกาย ซึ่งจะดูดวิบัติเข้ามา แล้วก็ผลักสมบัติออกไป ใครมีความตระหนี่ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ ---กราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ

บุญอะไรจะมาประเสริฐเลิศเท่ากับการทำใจหยุดใจนิ่ง ไม่มี หลวงปู่ของเรา พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ พูดเรื่อย สอนเรื่อย อบราเรื่อย ว่าจะสร้างโบสถ์สร้างวิหาร สร้างวัดกี่วัดก็ตาม ยังเป็นแค่กามาวจร ส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในสู่สุคติภพเท้านั้น แต่ใจหยุดประเดี๋ยวเดียว แสงสว่างวาบขึ้นมาแวบเดียว เท่ากับระยะเวลาที่ฟ้าแลบหรืองูแลบลิ้น หรือช้างพับใบหู คือมันแวบเดียว หยุดกับนิ่งของใจเกิดแสงสว่างนั้นได้อานิสงส์มากกว่า เพราะว่าเป็นทางไปสู่มรรคผลนิพพาน เป็นทางมรรคผลนิพพานไปสู่อายตนนพิพพาน ท่านยืนยันอย่างนี้ เหมือนกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ทั้งหลายก็ยืนยันอย่างนี้เหมือนกันหมด

- ไม่มีทางลัดอื่นใดที่จะทำใจให้เข้าไปถึงรัตนะภายใน นอกจากความเพียร ความพยายาม แล้วก็ทำให้มันถูกหลักวิชชา ถูกวิธีการเท่านั้น ซึ่งเราก็จะต้องศึกษาแล้วก็จดจำเอาไว้ให้ดีว่าหลักวิชชาเขาว่าอย่างไร แล้วเราถนัดอย่างไหน เราก็เอาอย่างนั้นไปก่อน ไม่ว่าจะกำหนดเป็นภาพหรือว่าไม่มีภาพก็ตาม เอาที่เราถนัด

และเมื่อไหร่เราเกิดความรู้สึกว่า ความมืดหรือการไม่ได้เห็นภาพอะไร ก็ไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนใจ ทุกข์ร้อน ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ได้ล่ะก็ เท่ากับเรากำความสำเร็จของการเข้าถึงธรรมได้แล้ว ไม่ว่าจะมืดตื้อมืดมิดมืดสนิทแค่ไหน ใจเราก็ยังใส ยังบริสุทธิ์ ยังหยุด ยังนิ่ง ไม่กระวนกระวาย ไม่ทุรนทุราย คือเราอยู่เหนือความรู้สึกว่าต้องได้ ต้องเห็น ต้องมี ต้องเป็นอะไรเหล้านั้นเสียแล้ว หรือความรู้สึกเหนือความกลัวจะไม่ได้ กลัวจะไม่ได้ กลัวจะไม่เห็น กลัวจะทำไม่เป็น หรือไม่ทันพี่น้องวงธรรมะ ไม่ตีตนตายไปก่อนไข้ ถ้าหากว่า เราอยู่เหนือความรู้สึกเหล่านั้น เท่ากับว่า เรากำความสำเร็จเอาไว้แล้ว

ง่วงก็ปล่อยให้หลับในกลาง เมื่อยก็ขยับเบาๆ ฟุ้งก็ลืมตา แล้วก็ว่ากันใหม่

ในการนั่งสมาธิ หากเราปลด เราปล่อย เราวางได้เท่าไหร่ ใจก็นิ่งง่าย แม้เราจะผ่านโลกมามาก ผ่านประสบการณ์ดีหรือชั่วมาแล้วก็ตาม แม้มันจะสั่งสมอยู่ในจิตในใจเรา เราก็สามารถที่จะเอาชนะได้ ด้วยการฝึกฝนตัวของเรา ฝึกหัดปลด หัดปล่อย หัดวาง หัดตัดใจ หัดหักห้ามใจ ฝึกไปทุกวันสักวันหนึ่งเราจะต้องยืนอยู่บนแท่นแห่งชัยชนะ

การศึกษาวิชชาธรรมกายก็คือการเรียนรู้เรื่องของชีวิต ไม่ได้ขัดแย้งกับเความเชื่อดั้งเดิมเลย เหมือนเราเรียนภาษาอังกฤษ ต่อมาก็เปลี่ยนมาเรียนภาษาไทย มาเรียนภูมิศาสตร์บ้าง ประวัติศาสตร์บ้าง มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับความเชื่ออะไร ก็เปลี่ยนวิชาเรียน แต่เป็นวิชาชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ชีวิตหลาย ๆ ระดับ ก่อนที่กายหยาบจะแตกดับไป หรือพูดง่าย ๆก่อนตาย ควรจะได้รู้จักชีวิตทุกระดับว่ามันเป็นมากันอย่างไร มันน่าเสียดายว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ให้โอกาสตัวเองศึกษาชีวิตภายใน ความรู้ภายใน ซึ่งมีความจำเป็นต่อชีวิตของเรา มีหลากหลาย หลายระดับ

โดยไปคิดเอาเอง ปิดหูปิดตาตัวเอง ด้วยความเชื่อดั้งเดิมว่าจะไปขัดแย้ง กลัวจะมาเปลี่ยนศาสนาบ้าง เลยปิดหูปิดตาตัวเอง ที่จริงความเชื่อควรเอาไว้บนหิ้ง แต่ความจริงของชีวิตเราต้องพิสูจน์ ต้องศึกษา ต้องเรียนรู้ ความรู้ภายในจะแตกต่างจากความรู้ภายนอก ภายนอกยิ่งเรียนยิ่งเครียด เพราะว่าจะต้องใช้ระบบของความคิด ท่อง จำ ขีดเขียน พูดคุญ แต่ความรู้ภายในมนหยุดอย่างเดียว ยิ่งเรียนจิตยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งมีความสุข ใจยิ่งขยาย เป็นมหากรุณา มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีความเห็นแก่ตัว มีแต่เห็นแก่โลก ต่อส่วนรวม หลักวิชชามันเป็นอย่างนี้ เรียนแล้วจะเกิดประโยชน์ไม่มีโทษเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่ความรู้ทางโลก เรียนแล้วยังมีโทษ เหมือนลูกระเบิดที่ไม่สลักนิรภัย อันตราย แล้วก็เรียนมาก็เพื่อประกอบอาชีพให้ได้ปัจจัย 4 มาเลี้ยงชีวิต ชีวิตเรากับชีวิตครอบครัว พวกพ้องบริวาร แต่ไม่ได้ทำให้ชีวิตประณีตขึ้น ทั้งที่ชีวิตต้องแตกดับ ดังน้นถ้าจะให้ชีวิตสมบูรณ์ เป็นชีวิต 200% ล่ะก็ ธุรกิจกับจิตใจต้องไปด้วยกัน ทำมาหากินกับการปฏิบัติธรรม จแยกออกจากกันไม่ได้ ทำมาหากินเป็นชีวิตภายนอก 100% เต็ม ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ในธุรกิจตการงาน ได้ทรัพย์มาเลี้ยงชีพ ชีวิตภายในอีก 100% เป็นชีวิตที่เราต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้

เพราะว่าชีวิตจะต้องแตกดับสักวัน แตกดับแล้ว ต้องไปปรโลก ไม่ว่าเราจะมีความเชื่อหรือไม่เชื่อว่าปรโลกมีหรือไม่มีก็ตาม ตายแล้วต้องไปที่เราไม่เชื่อว่ามี ก็เพราะว่าเราไม่เห็น คนที่ตายแล้วก็ไม่มาบอกเรา เราก็เลยไม่เชื่อ คิดตื้นๆ สั้น ๆ แค่นี้ แต่ว่าผู้รู้ที่มีตาดีๆ อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ผู้มีรู้มีญาณษมีฌานเขาเห็น เขาจึงมาบอกเล่าให้เราฟังว่า มันมีจริงๆ ถึงแม้เราไม่เชื่อก็ต้องเผื่อเหนียว เผื่อเหนียวทำอย่างไร เผื่อเหนียวก็คือต้องศึกษาด้วย เรียนรู้ด้วย ปฏิบัติธรรมด้วย เผื่อเหนียวเอาไว้ว่ามันมี เราจะได้ปลอดภัยในชีวิต ถ้ามันไม่มีก็เจากันไป คือชีวิต 200 ที่เราควรจะมี ระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่ ที่ความเป็นยังอยู่กับตัวเรา ถ้าความเป็นมันไม่อยู่ก็เรียกความตาย ธาตคุเป็นมันออกไปเหลือแต่ตาย ...

บุญอัศจรรย์เป็นสิ่งเหลือวิสัย เหนือธรรมชาติ เราจะนึกไม่ถึงหรอก เมื่อบุญบันดาลหรือบุญส่งผลมันจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ได้แนะนำให้ทำหมดตัว แต่ทำให้มันหมดใจ อย่ามัวโลเล โลเล คิดนาน เพราะมันมีผลต่อตัวเราเวลาสมบัติมันจะเกิด โลเลมันก็มาช้า มาขยักขย้อน มาช้า เวลาเราต้องการสร้างบารมี เอ้า ไม่มาเสียอีก สังเกตชาตินี้ดูซิ อยากจะทำบุญใจจะขาด แต่ทรัพย์มันมาไม่ทันใช้ เพราะชาติก่อนเราก็มัวโลเลอยู่อย่างนั้น

ชาตินี้เป็นชาติที่ต้องแก้ไขข้อบกพร่องที่มันผ่านมาในชาติปางก่อนโน่น แม้เราระลึกชาติในอดีตไม่ได้ ก็ระลึกดูปัจจุบัน ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ มีอะไรที่มันขาดตกบกพร่องบ้าง จะเป็นรูปสมบัติ จะเป็นทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ บริวารสมบัติ พวกพ้องอะไรต่างๆ ตรวจตราดูตัวของเรา เวลาเราขาดตกบกพร่องอะไร ก็ก็จะได้ทำบุญซะ แล้วอธิษฐานจิต เพราะภพชาติต่อไปนั่น เราจะไม่มามัวคุยกันยืดยาวอย่างนี้แล้วนะลูกนะ ชาตินั้นต้องพร้อมกันแล้ว รูปสมบัติพร้อม ทรัพย์สมบัติพร้อม คุณสมบัติพร้อม พวกพ้องบริวารพร้อม เราจะมุ่งหน้าหยุดในหยุดสร้างบารมีกันไปอย่างเดียว มีทรัพย์เราจะมามัว ชาติต่อไปจะไปเสียดงเสียดายไม่เอานะ

เวลาของชีวิตเรามีน้อย เพราะวิบากกรรมมันเหมือนระเบิดเวลาอยู่ในตัว มันจะตูมตามขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่ทราบ ตอนนี้มีชีวิตอยู่ มีทรัพย์อยู่ มีธรรมกายอยู่ เนื้อนาบุญมีอยู่ก็ให้มีศรัทธาซะ รีบๆ ทำซะ แล้วอย่าไปทำทีเดียวแล้วมันจะได้ผลเต็มที่อย่างที่เราคิด มันต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำตอกย้ำเหมือนตะปูนั่น กว่ามันจะจมมิดหายไป มันต้องตอกหลายครั้ง ยิ่งตอกหลายๆครั้ง มันก็ยิ่งมั่นคง ก็ยิ่งแน่นเข้าไปเรื่อยๆ บุญมันก็ต้องทำถี่ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำมันทุก ๆ บุญ ทั้งบุญ ทั้งศีล ทั้งภาวนานั่น ทำกันไป พอถึงวันสุดท้ายของชีวิต เราจะได้ปลื้ม จะได้ชื่นใจ จะได้จากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะ เป็นรอยยิ้มที่สดใสที่ปรากฏอยู่บนหน้าของเรา ให้ผู้ที่ได้พบเห็นในยามนั้นได้อัศจรรย์ใจ แล้วก็ยึดถือเป็นต้นบุญต้นแบบ เป็นเนติแบบแผนกันต่อไป ให้ยิ้มที่ทิ้งท้ายเป็นมาดกโลก มรดกอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาตินะ

แล้วอย่าไปเข้าใจผิดว่า การนึกถึงความตาย จะทำให้เราหดหู่ใจเศร้าหมอง ต้องเปลี่ยนทัศนคตินี้ใหม่ คิดใหม่ ว่าการระลึกนึกถึงความตายหรือการเจริญมรณานุสสตินี้ จะทำให้เราไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตจ จะคิด จะพูด จะทำอะไรนื่ มันมีสติ พอมีสติมันก็มีปัญญา เลือกที่จะคิด เลือกที่จะพูด แล้วก็เลือกที่จะทำ ให้ความคิด คำพูด การกระทำทางกาย วาจา ใจนี้สิ เป็นทางมาแห่งบุญกุศลที่จะสั่งสมติดในศูนย์กลางกายและจะใช้ตอนใกล้จะละโลก ในสงครามศึกชิงภพ งบดุลชีวิต แล้วก็จากโลกนี้ไปด้วยชัยชนะ ปลอดภัยในชีวิต มีสุคติเป็นที่ไป

เราต้องสร้างบารมีให้มาก ให้ยิ่งๆ ขึ้นไปทุกชาติ เพราะฉะนั้นจะต้องมีอุปกรณ์ในการสร้างบารมี อย่างน้อยก็มีทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ รูปสมบัติ มาเป็นอุปกรณ์ในการสร้างบามีกันต่อไป คิดอย่างนรั้น ถึงได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจทำกันอย่างเต็มกำลัง ไม่กลัวอดอยาก ไม่กลัวยากกลัวจน ยิ่งกลัวอดอยากยากจน แล้วไม่สร้งมหาทานบามีจะยิ่งจน แต่พี่เราพ้นความวิตกกังวลแล้วทุ่มกันเต็มท เลย แล้วก็ไม่เคยจนสักที เดี๋ยวก็บุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติ แล้วยังเป็นต้นบุญต้นแบบแก่ชาวโลกทั้งหลายด้วย

แล้วเราก็ต้องอธิษฐานให้เราระลึกชาติได้ เกิดกี่ภพกี่ชาติให้ระลึกได้ พอเกิดมาก็ระลึกชาติได้เลยว่าเราได้ทำบุพกรรมอะไรมา เหมือนเทวดาเขาระลึกชาติได้อย่างนั้น เพื่อจะได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ในการดำเนินชีวิตจะได้ไม่ผิดพลาด ไม่ดำเนินชีวิตผิดพลาด สุคติก็เป็นที่ไป อธิษฐานให้เข้าถึงพระรรมกายตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อมีสมบัติใหญ่เกิดขึ้น ก็ไม่ตระหนี่ ไม่เสียดาย ให้ได้สร้างบารมียิ่งๆ ขึ้นไป ให้มีเนื้อนาบุญมารองรับ มหาทานบารมีของเรา

การอธิษฐานอย่างนี้ เป็นอธิษฐานบารมี ไม่ใช่เป็นการค้ากำไรเกินควร เหมือนมีบางท่านบางคนสั่งสอนอย่างนั้น แนะนำอย่างนั้น มันไม่เกี่ยวกัน นี่ไม่ใช่เรื่องทำมาค้าขาย นี่เป็นเรื่องของบุญที่จะอธิษฐาน เป็นอธิษฐานบารมีเหมือนเรือที่ออกทะเล ต้องมีหางเสือนั่น จะได้ไปสู่จุดหมายปลายทาง ถึงที่หมายโดยปลอดภัยและมีชัยชนะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทำบุญแล้วท่านก็อธิษฐานจิต ไม่ได้เป็นการค้ากำไรเลย ทุกบุญท่านก็อธิษฐานขอให้ได้เป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า ไม่ว่าทำบุญเล็กบุญน้อย บุญปานกลางบุญใหญ่ อธิษฐานขอให้ได้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ นี่ท่านทำ

เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของการค้ากำไรเกินควร เป็นเรื่องของการตั้งเป้าหมายของชีวิต ติดหางเสือเรือ จะได้ไปถูกทิศถูกทาง ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่เคว้งคว้างเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ อยู่กลางทะเลลึกอย่างนั้น อันตราย