วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การเข้ากลาง

หลวงพ่อได้ค้นวิชชากับคุณยาย เรื่องการทำใจหยุดนิ่ง เข้ากลางของกลางว่า ที่มาเป็นอย่างไร และสำคัญมากน้อยเพียงไร

เมื่อค้นวิชชาไปก็พบว่า การเข้ากลางนี้สำคัญมาก สำคัญที่สุดทีเดียวเพราะว่า ถ้าใครเข้ากลางของกลางได้ ก็สามารถรู้เห็นวิชชาของพระพุทธเจ้าได้ สามารถเห็นหนทาง ที่จะออกจากกองทุกข์ทั้งหลายได้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก และสำคัญทีสุด

แต่มนุษย์ที่เกิดมาในปัจจุบันนี้ไม่รู้อะไร เกิดมาพบอะไรก็ไปอย่างนั้น

ปัจจัยภายนอก ประการ ที่ทำให้มนุษย์เข้ากลางไม่ได้คือ

. พวกที่เกิดนอกพระพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องการเข้ากลางได้เลย

. พวกที่เกิดในพระพุทธศาสนา แต่เกิดในยุคที่บ้านเมืองเกิดสงคราม หรือใน

ขณะที่เศรษฐกิจตกต่ำ มนุษย์เกิดมาแล้วต้องไปทำหน้าที่รบกัน หากินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยง

ท้องเพียงอย่างเดียว พวกนี้ไม่มีโอกาสมารู้เรื่องเข้ากลางได้

และยังมีปัจจัยภายในอีก ที่ทำให้มนุษย์ติดหลง เพลิดเพลินไม่รู้จักกลาง หรือห่าง

เรื่องของกลางไปเรื่อยๆ ปัจจัยภายในมีหลายพวก แบ่งตามขั้นหยาบละเอียดได้คือ

. พวกแรก คือ พวกที่ถูก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ดึงใจออกจาก กลางไป พวกนี้พอที่จะปฏิบัติเพื่อให้ใจเข้ากลางได้ แต่ถูกรูปที่ถูกอกถูกใจกระทบเข้า ใจก็จะ

หลุดจากกลาง ไปยินดีในรูปว่า เป็นที่น่ารัก น่าชอบใจ ถ้าได้รูปอย่างนั้นมาเป็นของตัวแล้ว จะดีอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็พยายามเติมรสเติมชาติให้มากกว่านั้นเข้าไปอีก มนุษย์จึงติดรูป เป็นอันมาก

เสียงก็เช่นกัน อยากฟังแต่เสียงที่ไพเราะ เสียงที่อ่อนหวาน ฟังแล้วเคลิ้ม หลงใหล เพลิดเพลินไป ทำให้จิตใจออกห่างจากกลางไปเรื่อยๆ

กลิ่น ก็อยากได้แต่กลิ่นที่ดีๆ หอมๆ กลิ่นที่ถูกอกถูกใจ อยากได้ทั้งนั้น ไม่ได้ก็ ทะยานอยาก หาให้ได้เป็นของตัวอยู่เรื่อยไป

รส ก็อยากได้แต่รสที่ดีๆ อยากได้รสนั้นรสนี้ พอได้ลิ้มรสก็ติดในรสอีก คราวนี้ได้แล้ว คราวต่อไปก็อยากได้อีก อยากได้เรื่อยๆ

สัมผัส อยากได้แต่สัมผัสที่ดีๆ นึกถึงแต่สัมผัสที่ชอบใจในเรื่องของอดีตที่ผ่านมา นึกขึ้นมาก็ไปติดในสัมผัสนั้นๆ อยากได้แต่สัมผัสนั้นๆ มาเป็นของตัวอยู่เรื่อยๆ

ธรรมารมณ์ นึกถึงแต่อารมณ์ที่ดีๆ ในอดีตที่ล่วงมาแล้ว นึกแล้วก็เคลิบเคลิ้ม อยากจะได้อารมณ์เหล่านั้นมาเป็นของตัว ดึกดื่นค่อนคืนนอนไม่หลับ ก็นึกถึงแต่อารมณ์นั้น

อยู่เสมอๆ

เมื่อติดอยู่ในสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ยิ่งห่างจากศูนย์กลางกายไปเรื่อยๆ เขาก็เติมรสเติม

ชาติให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ พอได้รสชาติอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่อยากจะจากไป เมื่อมนุษย์ถูกสิ่งเหล่านี้มาครอบงำ ก็ไม่สามารถจะทำใจให้ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางได้ พวกนี้ก็ไม่มีโอกาสรู้เรื่อง ของกลางได้

หลวงพ่อทัตตะท่านมีปัญญามาก เพราะว่าท่านสามารถจะตอบปัญหาทุกอย่างได้ ท่านมีปัญญาเหมือนพระนาคเสนที่ตอบปัญหาพระยามิลิจน์ ตอบปัญหาได้ทุกอย่าง ในอดีต สามเณร(พระยามิลินจ์) ถูกพระอุปัชฌาย์ (พระนาคเสน) ซึ่งกำลังกวาดหญ้าอยู่ ใช้ให้สามเณรเอาขยะที่กวาดแล้วไปทิ้ง สามเณรไม่ไป อุปัชฌาย์ก็ตีสามเณรร้องไห้ แล้วจำใจเอาไปทิ้ง เห็นดวงอาทิตย์สว่างไสว ก็อธิษฐานให้มีปัญญาสว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์ มากดัง ละลอกคลื่นในมหาสมุทร อุปัชฌาย์ได้ยินก็อธิษฐานว่าขอให้มีปัญญาดุจฝั่งมหาสมุทร ไม่ว่าคลื่นจะมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่สามารถจะล้นฝั่งได้

นี่ทำบุญโดยไม่ตั้งใจเพียงแค่นี้ บุญยังส่งผลให้ได้ขนาดนี้ เป็นพระมหากษัตริย์ มีพระบรมเดชานุภาพมาก มีปัญญามาก ไม่มีใครสามารถตอบปัญหาของพระองค์ได้ มีแต่ พระนาคเสนที่จะสามารถตอบปัญหาได้ทุกอย่าง

พวกเราทำความสะอาดวัดด้วยความตั้งใจทำมากกว่านั้น ขอให้เราอธิษฐานให้ดี ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่รู้บุญรู้บาป ขอให้พวกเราตั้งจิตอธิษฐานให้ดี ล้อมคอกไว้ทุกอย่าง ขอให้เราอธิษฐานเกี่ยวกับปัญญาให้มากๆ พวกเราได้สร้างบุญไว้มาก ได้ไปชักชวนเขามา สร้างบุญกุศล ชักชวนให้ตั้งมั่นอยู่ในความดี ทำด้วยความตั้งใจทุกอย่าง บุญกุศลที่เกิดขึ้น จึงเป็นบุญใหญ่มหาศาล

ดังนั้นเมื่อเราหาบุญได้แล้ว ต้องใช้ให้เป็น ใช้คำอธิษฐานเป็นดังหางเสือเรือที่จะนำไปสู่พระนิพพานให้พวกเรานึกถึงบุญ แล้วอธิษฐานให้พวกเรามีปัญญามากๆ สามารถตอบ ปัญหาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตาม ก็ขอให้ตอบได้ทั้งหมด ปัญหาของมนุษย์ อมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม ได้โดยไม่ติดขัด ตอบแล้วผู้ฟังดีอกดีใจ อิ่มอกอิ่มใจ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งพยัญชนะ ให้ไพเราะเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย ให้ผู้ฟัง ฟังแล้วสามารถหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ในบัดดล ทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน

ความตระหนี่จะปล้นสมบัติจักรพรรดิข้ามภพข้ามชาติ พระต้นธาตุท่านจะสอดละเอียด สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่องลงมาไว้ใช้ให้กิน ให้ใช้ อย่างสบายไม่ต้องลำบาก แต่มารเขาก็สอดละเอียด เอาความตระหนี่ ความหวงแหนในทรัพย์ ใส่ลงมาให้เอิบอาบซึมซาบ ปนเป็นอยู่ในใจ ทำให้ใจคับแคบ ไม่เปิดขยาย จึงไม่สามารถที่จะเชื่อมสายสมบัติจากพระนิพพานได้ สมบัติจักรพรรดิก็ถูกย่อยแยกออกไป แล้วเอาความอดอยากยากจนมาใส่ ทำให้การทำมาหากินลำบาก ทำมาหาเก็บก็ไม่มี ทำมาหาสร้างบารมีจะเหลือได้อย่างไร ฉะนั้นเราต้องตีกระหน่ำย่ำยี ไม่ปราณี ปราศรัยความตระหนี่

ให้เราไปชวนเขามาสร้างบุญ ถ้าเราไม่ไปชวนเขามาทางนี้ มารก็จะล่อให้สมบัติเขาไหลไปทางอื่น ให้ไหลออกไปทางอบายมุข แล้วก็สร้างนรกขึ้นรองรับ เราจึงไม่ควรคิดแทนเขา ว่าเขาจะกินยังไม่มีเลย แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาทำบุญ ถ้าเราคิดแทนเขาอย่างนี้ แสดงว่าใจเราถูกมารเขาปนเป็นได้ พวกเราบารมีแก่ ๆ ทั้งนั้น ถอยพืดลงมาเพื่อสร้างโลก ทำไปเถอะ จะเป็นสมบัติติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ ทำด้วยตัวเองและชวนคนอื่นทำ สมบัติจะต่อสมบัติ บุญจะต่อบุญ จะได้สมบัติอัศจรรย์ทันใช้ ไว้สร้างบารมีในชาตินี้..

กระแสความตระหนี่

เมื่อเราให้ ใจก็หลุดพ้นจากความตระหนี่ที่เข้าครอบงำ ความตระหนี่ครอบงำเมื่อไร ความรู้สึกอยากจะให้จะไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่ให้ก็ไม่ได้ ไม่ได้บุญ เพราะกระแสความตระหนี่ดำมืดสนิททีเดียว เคลือบเอิบอาบซึมซาบปนเป็นธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ให้หวงแหน เสียดายทรัพย์ ให้มีความคิดผิดๆ จะเก็บไว้บ้าง กลัวหมดบ้าง กลัวมีน้อยกว่าคนอื่นบ้าง หรือไม่อยากจะให้เพราะเสียดายบ้าง อยากจะเอาไปใช้ทางอื่น อยากจะเอาไปกิน ไปใช้ ใช้เพลิดเพลินบ้าง ใช้ทำธุระเพลินไปเรื่อย จนกระทั่งหมดเวลา ให้ลูกหลานเอาไปใช้สนุกสนานเพลิดเพลินกันต่อไป ก็คิดกันได้อยู่แค่นั้น เพราะความตระหนี่มาครอบงำ มันเป็นธาตุธรรมชนิดหนึ่งที่เขาสอดละเอียดลงมาบังคับ ให้ไม่เป็นทีเดียว อึดอัดทีเดียว พอคิดว่าจะให้..ทุกข์ใจ ทรมานใจ ให้ไม่ได้ ร้อนรุ่มกลุ้มใจ หงุดหงิดกับคนที่มาขอ หรือมาชวนทำดี พอหงุดหงิดก็พูดออกมาในทางไม่ดี

กระแสความตระหนี่บังคับเอาไว้ ไม่ให้กระแสบุญเข้าไปอยู่ในใจ เมื่อกระแสบุญไม่เข้าไปอยู่ในใจ กระแสบุญที่มาพร้อมกับสำเร็จ สมบัติต่างๆ ก็ไหลเข้าไปไม่ได้ กระแสบาปคือความตระหนี่ไปบังคับ ทั้งยังส่งบาป อกุศลอีก ให้อดอยากให้ยากจน ให้ทุกข์ทรมาน เวลาเกิดมาก็มาเกิดในชีวิตที่ลำยาก พออดอยากยากจนเข้า จะศึกษาก็ไม่ได้ ความรู้ก็น้อย ต้องหาเช้ากินค่ำไปอย่างนั้น เมื่อความรู้น้อย รายได้ก็น้อย ก็ไม่พอกินไม่พอใช้ ก็ทุกข์ทรมาน ก็แสวงหาว่าทำอย่างไรจะได้ทรัพย์มา การแสวงหาก็มีทางเดียวเท่านั้น คือ หาทางลัด ปล้นจี้เขาบ้าง ขโมยเขาบ้าง ผลก็เป็นทุกข์สืบเนื่องกันต่อไปอีก ยาวนานทีเดียว ติดคุกติดตะราง ตกนรก เวียนว่ายตายเกิดในภพ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เพราะความตระหนี่บังคับไว้

กระแสของการให้

ใจที่คิดจะให้ แสดงว่ากระแสบุญเข้ามาจรดที่ในกลางกาย พอถูกส่วนเข้าก็เหมือนกดสวิทซ์ไฟ พอกดความสว่างก็เกิดขึ้น ความมืดก็หมดไป ความรู้สึกที่จะไม่ให้ ก็หมดไป ดับไป พอดับกระแสบุญก็ได้ที่ ลงมาซ้อนกันแน่นทีเดียว

ธารแห่งบุญ

ถ้าใครสามารถทำใจหยุดที่ศูนย์กลางกายได้ กระแสธารแห่งบุญ จะไหลจากที่สุดแห่งธรรม มาที่ตัวเราตลอดเวลา ถ้าหากใครอยากได้บุญมากก็ทำอย่างนี้นะจ๊ะ ถ้าอยากได้บุญ ปานกลางก็ทำมั่งไม่ทำมั่ง หรือถ้าไม่อยากได้ก็ขี้เกียจทำ แล้วแต่เราจะเลือกเอา

หยุด ๑๐๐ %”

เราหยุดสมบูรณ์ ๑๐๐ % ทำถูกต้อง ถูกใจเรา ตั้งแต่หยุดแรกแล้วหรือยัง สังเกตได้จากความสบาย และจิตมีพลังเคลื่อนได้ ไม่หยุดยั้ง...

วิธีที่ง่ายที่สุด คือ หยุด นิ่ง เฉย สบาย ไม่ต้องคิดอะไร มีอะไรให้ดูก็ดูไปสบายๆ ถ้าใครเชื่อ ถ้าใครไม่เชื่อยังสงสัยอยู่ วิธีใดที่ทำให้หายสงสัยก็ทำวิธีนั้น ถ้าหายสงสัยก็ให้ทำตามที่แนะซึ่งมีวิธีเดียว คือ เฉยๆ สบายๆ สมบูรณ์ ๑๐๐ %

ถ้านิมิตชัดเจน แต่ไม่สบาย แสดงว่าหยุดไม่ ๑๐๐ % แสดงว่ามีการลุ้น การตั้งใจมาก การเค้น หรือเข้ากลางเคลื่อนไป แต่ไม่มีความสุข สังเกตว่า ถ้าเฉยในระดับที่พยายามที่จะทำให้มันเฉย ยังไม่สบาย ๑๐๐ % จะเห็นห่างๆ เห็นจุด ถ้าสบายจริงๆ จะวู๊บ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ได้... ยิ่งเข้า ยิ่งสว่าง ดีมาก วางเบาๆ สบายๆ จะต่อเนื่อง

ที่เห็นสั้นๆ เพราะเราอยากให้ชัดเจนกว่านั้น ให้เห็นนานกว่านั้น เพราะความอยากแท้ๆ เลยแย่ทุกวันนี้ เปลี่ยนสภาพข้างในห้อง เป็นข้างนอกห้อง แต่ไม่เปลี่ยนที่ตั้งของใจ...

พ่อสอนว่า

พระพุทธเจ้าของเราท่านสั่งสอนไว้เช่นนี้ ว่าไม่มีใครในโลกที่ไม่เคยเป็นพ่อ ไม่เคยเป็นแม่ ไม่เคยเป็นสามี ภรรยา ไม่เคยเป็นบุตร-ธิดา ไม่เคยเป็นญาติ และมิตรสหายทางกายต่อกัน

ทำใจให้เปิดกว้างเข้าไว้ ลูกอย่าจุดไฟแห่งความเห็นแก่ตัว ขึ้นเผาไหม้ตัวเอง

จำเอาไว้ ไม่มีใครเป็นของใครอย่างแท้จริง และอย่าจุดไฟแห่งความทุกข์ใดๆ ขึ้นมาเผาผลาญใจตน

จงช่วยกันเร่งแผ่ความรัก และความปรารถนาดีออกไปให้กับผู้คน และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อยังโลกนี้ให้น่าอยู่สำหรับเรา และธาตุธรรม

เทคนิคการทำธรรมะ

นั่งอย่างมีความสุข ฟุ้งก็ยิ้ม พระผ่านมาจะได้แวะเข้ามาหาเรา

คุณยายทองสุก รักธรรมะมาก อยากเห็นธรรมะมาก นึกอย่างเดียวว่าทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงธรรมกาย แม้สละชีวิตก็ยอม ในใจนึกถึงธรรมะตลอดเวลา พอเข้าถึงธรรมก็เดิน ตัวแข็งทื่อ กลัวธรรมะหาย ประคองธรรมะ เข้าถึงธรรมกายยาก จึงรักธรรมะมาก ทานข้าวก็ทานนิดเดียว เพราะกลัวไปบังดวง เรื่องอื่นยอมแพ้หมด แต่เรื่องธรรมะท่านไม่ยอม ต้องชนะ ใครนั่งธรรมะถึง ทุ่ม ท่านจะนั่งถึง ทุ่ม ...สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัย ความอดทน ความเพียร..

พ่อสอนว่า

หลักแห่งการทำตนให้เป็นที่รัก

...จะต้องรู้จักการให้ พอใจและเป็นสุขกับการให้นั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ หรือกำลังใจ กำลังกาย หรือกำลังทรัพย์ และให้ด้วยอาการเป็นสุข ให้ด้วยวาจาที่ไพเราะนุ่มนวล

จะต้องหัดเป็นผู้มีวาจาอันนุ่มนวล เพราะหู ถูกเวลา ถูกกาละ และเทศะ รู้จักแต่จะพูดแต่เพียงดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป รู้จักพูดให้ถูกต้องกับผู้ฟัง (ถูกตัวบุคคล) ข้อสำคัญที่สุดคือ จะต้องพูดแต่เรื่องราวที่แท้จริง ไม่พูดในสิ่งที่จะทำให้ผู้ใดต้องเดือดร้อน เสียหาย ไม่กล่าวปรามาส หรือ กล่าวโทษผู้ใดโดยใช้กฎเกณฑ์แห่งตนเป็นบรรทัดฐาน

จะต้องเป็นผู้มีกริยามารยาทงดงาม ไม่ว่าจะเป็นการยืน การนั่ง การลุกขึ้น การพูดคุย แม้กระทั่งเลยไปถึงมารยาทในการดื่ม กิน และนอน

อันดับสุดท้าย จะต้องเป็นผู้มีการกระทำอย่างนี้เสมอต้นเสมอปลายกับทุกคน ในขอบเขตอันพอสมควร

นอกเหนือไปกว่านี้ คือ การมีศีลอยู่เป็นประจำ การมีศีล จะเป็นการกำกับให้เรามีบรรทัดฐาน ในการปฏิบัติตัว ให้ทั้งกับตัวเองและผู้อื่นอย่างพอดีๆ

น้ำหยดทีละหยด ยังสามารถเต็มตุ่มได้ฉันใด บัณฑิตหมั่นสั่งสมบุญทีละน้อย ย่อมเต็มเปี่ยมด้วยบุญได้ฉันนั้น

การบูชาข้าวพระคือการนำเครื่องไทยธรรมทั้งหลาย อันเป็นของหยาบมีดอกไม้ธูปเทียนอาหารหวานคาว ที่จะนำมากลั่นให้เป็นของละเอียด ด้วยพระธรรมกายที่มีอยู่ภายในตัวของเรา จนกระทั่งความละเอียดของเครื่องไทยธรรมนั้นเท่าเทียมกับความละเอียดของพระธรรมกายเพื่อจะได้น้อมไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว แต่ยังมีพระธรรมกายปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน

การที่เรามาบูชาข้าวพระก็คือการนำเอา ของหยาบที่กลั่นให้ละเอียดประณีตด้วยโดยธรรมกายไปถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อเป็นกิริยาบุญของเรา เป็นธรรมบรรณาการ แต่ไม่มิได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ท่านจะเสวยอาหารเช่นเดียวกับพระสงฆ์นะ ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่นี้เป็นพุทธบูชาเหมือนเราเอาดอกไม้ไปบูชาที่พระประธานในพระอุโบสถ ดอกไม้เหล่านั้นเป็นของหยาบถวายต่อพระปฏิมากรซึ่งเป็นตัวแทนของพระธรรมกายของพระพุทธเจ้า แต่นี่เราไม่ได้ไปแค่โบสถ์แค่พระปฏิมากร เราไปถึงตัวจริงของพระพุทธเจ้า ตัวจริงของท่านเป็นกายธรรมที่ละเอียดอยู่ในอายตนนิพพาน ของที่จะไปถึงจึงต้องละเอียดตามไปด้วย ทำอย่างนี้เรียกว่าพุทธบูชา เป็นการกระทำที่เป็นมหากุศลอย่างยิ่งเพราะฉะนั้นขอให้ทำความเข้าใจว่า การถวายข้าวพระมิได้หมายถึงว่าไปให้พระพุทธเจ้าท่านเสวยเหมือนพระสงฆ์ที่ท่านขบฉันภัตตาหาร ไม่ใช่อย่างนั้น

อาการที่เราบูชาข้าวพระนี้จึงเป็นกิริยาบุญ แต่แทนที่เราจะทำแบบธรรมดาทั่วไป ซึ่งเรียกว่า "ขอถึง" เราก็เปลี่ยนแปลงวิธีการเสียใหม่เป็น"เข้าถึง" คือถึงได้ด้วยธรรมกาย ซึ่งมีอยู่ในตัวของเราทุก ๆ คนอยู่แล้ว ใช้ธรรมกายของตัวเรากลั่นเครื่องไทยธรรมจากของหยาบให้เป็นของละเอียด เพื่อน้อมไปถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชา

(เพิ่มเติม)

มีคำ ๆ หนึ่งที่ใช้เป็นพิเศษแตกต่างจากที่ใช้กับมนุษย์ทั่วไป แต่เราได้ยินกันมาบ้างแล้วคือ คำว่า "ดับขันธปรินิพพาน" มนุษย์ทั่ว ๆ ไปนั้นถ้าชีวิตหาไม่แล้วก็เรียกว่า "ตาย" สิ่งที่เห็นคือร่างกายเสียหมด ถ้าเป็นพระก็เรียกว่า"มรณภาพ" แต่ถ้าเป็นการตายของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านใช้คำว่า "ดับขันธปรินิพพาน" คือขันธ์ทั้ง 5 ที่ตกอยู่ในไตรลักษณ์นั้นดับหมด ถอดออกหมดเหลือแต่"ธรรมขันธ์" ของพระพุทธเจ้า แล้วธรรมขันธ์หรือธรรมกายนั้นก็เข้าสู่อายตนนิพพาน อาการอย่างนี้แหละที่เรียกว่า ดับขันธปรินิพพาน

วันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานนั้นน่ะ ใจของท่านร่อนจากขันธ์ทั้ง 5 แล่นเข้าไปสู่ภายในด้วยธรรมกาย ใจร่อนจากขันธ์ทั้ง 5 ของกายต่าง ๆ คือ ขันธ์ในกายมนุษย์ ในกายทิพย์ ในกายพรหม ในกายอรูปพรหมซึ่งติดอยู่ในภพทั้ง 3 คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ ใจท่านร่อนหมด กะเทาะร่อนหมดไม่ติดกันเลย ใจท่านไปติดอยู่ในธรรมกายอรหันต์ คือธรรมกายของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ภายใน เป็นกายที่สะอาดหมดจด กิเลสอาสวะทั้งหลายหมดสิ้นจากใจแล้ว ใจของท่านเข้าไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมอรหัตเป็นธรรมกายเมื่อขันธ์ทั้ง 5 ของกายหยาบแตกกายทำลายขันธ์ เพราะทรงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้กายธรรมก็กลั่นตัวเองให้บริสุทธิ์เท่ากับอายตนนิพพานแล้วถอดออก กายธรรมถอดออกและถูกดึงดูดเข้าสู่อายตนนิพพาน ด้วยธรรมกาย การดับขันธปรินิพพาน เป็นไปอย่างนี้

เพราะฉะนั้นในอายตนนิพพาน ซึ่งเป็นภพเป็นที่อยู่ของพระธรรมกายนั้นจึงมีแต่พระธรรมกายล้วน ๆ สะอาดบริสุทธิ์สว่างไสวด้วยธรรมรังษีของพระพุทธเจ้าด้วยธรรมธาตุที่บริสุทธิ์และสะอาดประณีต เมื่อท่านเข้าสู่อายตนนิพพานแล้ว กิจอย่างอื่นที่คล้าย ๆ กับมนุษย์เทวดา พรหม หรืออรูปพรหมนั้นไม่มี เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการยืน เดิน นอน มีแต่อริยาบทนั่งสงบ เข้านิโรธสมาบัติ อยู่ในกลางของกลางของพระองค์ท่าน เสวยวิมุตติสุข สุขที่อยู่บนอายตนนิพพานซึ่งไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ กิจของท่านเป็นอย่างนี้ตลอดไป

...ถ้าเราต้องการทำทานให้ได้บุญมาก ให้เกิดบุญอย่างจะนับจะประมาณไม่ได้ ก็ควรที่จะประกอบเหตุแห่งทานให้ครบองค์ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ข้างตน ในองค์ ที่กล่าวมานั้น เป็นส่วนของผู้ให้ อย่าง เป็นส่วนของผู้รับ อย่าง ถ้าเราได้ผู้รับที่ดี แต่เจตนาเราไม่ดี บุญย่อมหกย่อมหล่นไป แต่ถ้าเจตนาเราดี บุญย่อมเกิดขึ้นเต็มที่

ในข้อนี้จะเห็นได้ว่า เจตนาในการให้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าบุญจะได้มากหรือได้น้อย ในบางครั้งบุคคลผู้มีเจตนาดีทำบุญกับคนทุศีลได้ไปสวรรค์ บุคคลผู้มีเจตนาเสียไปทำบุญกับพระอรหันต์กลับตกนรก เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรลองมาศึกษากรณีต่อไปนี้

พระราชาทำบุญกับคนทุศีล

สามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนยากจนมาก หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทานเดินทางมาอาศัยอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง ในขณะที่พักอยู่นั้น ภรรยาซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ เกิดอาการแพ้ท้อง อยากจะบริโภคอาหารที่พระราชาเสวย จึงอ้อนวอนสามีให้ไปหามาให้ บอกว่าหากมิได้บริโภคอาหารที่ต้องการนี้จะต้องตายเป็นแน่แท้ ฝ่ายสามีผู้มีกรรมทนคำอ้อนวอนต่อไปไม่ไหวและเกรงว่านางจะตาย จึงคิดอุบายปลอมตัวเป็นพระภิกษุ และด้วยความที่ปลอมตัวมาใหม่ๆ จึงระมัดระวังตัวมาก ดูเหมือนเป็นผู้สำรวมเดินอุ้มบาทไปในพระราชวัง เพื่อรับบิณฑบาต

ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระราชาจักเสวยพระกระยาหารพอดีเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุเดินด้วยกิริยาอาการสำรวมมากเช่นนั้น ทรงจินตนาการว่าภิกษุนี้มีกิริยาอาการสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นหนักหนา คงเป็นพระที่ทรงคุณวิเศษสักอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้จึงเกิดพระราชศรัทธา ทรงนำพระกระยาหารอันเลิศรสที่จะเสวยใส่ลงในบาตรจนหมด ด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่ง

เมื่อพระภิกษุปลอมรับอาหารแล้วเดินจากไป ด้วยความเลื่อมใสอันมีอยู่มากมายในพระทัยของพระราชา จึงรับสั่งอำมาตย์คนสนิทให้รีบสะกดรอยตามไป เพื่อให้รู้ว่าพระท่านมาไหน จะไปพักที่ไหน เพื่อว่าวันต่อไปจะนิมนต์มารับบาตรในพระราชวังอีก

ฝ่ายพระภิกษุปลอมนั้น เมื่อได้อาการเต็มบาตรสมความปรารถนาแล้วก็ดีใจ

รีบเดินไปจนสุดกำแพงพระราชวัง เมื่อเห็นว่าปลอดผู้คนแล้ว จึงเปลื้องจีวรและสบงออกเป็นเพศคฤหัสถ์ตามเดิม แล้วนำเอาพระกระยาหารนั้นไปให้ภรรยาแพ้ท้องบริโภคตามความประสงค์ อำมาตย์ซึ่งสะกดรอยติดตามมาได้เห็นพฤติการณ์นั้นโดยตลอด ก็บังเกิดความตกใจและสังเวชใจคิดว่า มาเจอคนที่ปลอมตัวเป็นพระเสียแล้ว นี่ถ้าหากพระราชาทรงทราบเรื่องนี้เข้าจะต้องเสียพระทัยเป็นอย่างมาก และผลบุญที่ได้ก็จะตกหล่นไปเพราะอปราปรเจตนา คือเจตนาหลังจากที่ให้แล้วไม่สมบูรณ์ เมื่อคิดดังนี้แล้ว ก็เดินทางกลับไปเฝ้าพระราชา

พระราชาจึงตรัสถามว่าได้ความว่าอย่างไร บอกมาเร็ว พระนั้นอยู่วัดไหน?อำมาตย์จึงใช้กุศโลบายเพื่อรักษาศรัทธาของพระราชาไว้ กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐข้าพระพุทธเจ้าได้สะกดรอยตามพระรูปนั้นไป จนออกนอกกำแพงพระราชวัง พอตามไปสุดพระราชวังโน้น ท่านก็หายวับไปทันที(ในที่นี้หมายถึงหายจากความเป็นพระกลายเป็นคฤหัสถ์ไป)

พระราชาได้ฟังดังนั้นทรงโสมนัสมาก มิได้ซักความเพิ่มเติมอีก ทรงคิดเอาเองว่า บุญของเราแท้ที่ได้ถวายทานแด่พระอรหันต์ทรงคุณวิเศษท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆ ปาฏิหาริย์หายตัวได้ทานที่ได้ถวายท่านในวันนี้มีอานิสงส์มากเป็นทานที่ประเสริฐอย่างแน่ๆพระราชาทรงบังเกิดความปีติเบิกบานใจในบุญที่ได้ทำเป็นยิ่งนัก

พระราชาพระองค์นี้มีเจตนาดีทั้ง ระยะครบบริบูรณ์และมีความเข้าใจว่าปฏิคาหกสมบูรณ์ด้วยองค์ ผลบุญที่ได้จึงมากมายส่งผลให้พระราชาเมื่อถึงคราว สวรรคตแล้ว ได้ไปบังเกิดสุคติโลกสวรรค์ ยิ่งถ้าหากพระรูปนั้นเป็นพระจริงและปฏิบัติตามองค์ของผู้รับ ได้อย่างสมบูรณ์ ผลบุญที่พระราชาได้จะมากมายมหาศาลยิ่งขึ้น เพราะทำทานครบองค์ ซึ่งจะให้ผลมากนับประมาณมิได้

แด่พระอรหันต์ทรงคุณวิเศษท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆ ปาฏิหาริย์หายตัวได้ทานที่ได้ถวายท่านในวันนี้มีอานิสงส์มากเป็นทานที่ประเสริฐอย่างแน่ๆพระราชาทรงบังเกิดความปีติเบิกบานใจในบุญที่ได้ทำเป็นยิ่งนัก

พระราชาพระองค์นี้มีเจตนาดีทั้ง ระยะครบบริบูรณ์และมีความเข้าใจว่าปฏิคาหกสมบูรณ์ด้วยองค์ ผลบุญที่ได้จึงมากมายส่งผลให้พระราชาเมื่อถึงคราว

สวรรคตแล้ว ได้ไปบังเกิดสุคติโลกสวรรค์ ยิ่งถ้าหากพระรูปนั้นเป็นพระจริงและปฏิบัติตามองค์ของผู้รับ ได้อย่างสมบูรณ์ ผลบุญที่พระราชาได้จะมากมายมหาศาลยิ่งขึ้น เพราะทำทานครบองค์ ซึ่งจะให้ผลมากนับประมาณมิได้

บุญละเอียด

การนั่งธรรมะเป็นบุญละเอียดอ่อน เป็นการแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้ดี สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ จากไม่สำเร็จให้สำเร็จ จากยากเป็นง่าย จากไม่มีให้มี เพราะใจ เป็นสิ่งที่จะได้เหนือความคาดหมายของปุถุชน ทำได้เหนือเหตุผลของปุถุชน ถ้าปุถุชนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่วิสัยของใจอาจทำได้ สิ่งใดที่ปุถุชนคิดว่าไม่สำเร็จ แต่ใจอาจทำได้สำเร็จ

เพราะฉะนั้น ใจต้องฝึกฝนและทำให้เจริญให้มาก ๆ ฝึกมากแล้วจะทำประโยชน์ให้ตนเองได้เป็นอย่างยิ่ง จะเปลี่ยนจากปุถุชนให้เป็นอารยชนได้ เช่น คนเหมือนกัน คนหนึ่งไม่โกรธ ใจดี มีเมตตา ย่อมเป็นที่อยากเข้าใกล้ของคนทั่วไป และถ้าใจรักษาคุณธรรมนี้ไว้มาก ๆ อาจทำให้น่ากราบไหว้ เป็นที่เคารพบูชา เพียงไม่โกรธอย่างเดียวยังได้คุณวิเศษขนาดนี้ ถ้าไม่โลภด้วยจะยิ่งดีมากกว่านี้หลายเท่า

ฉะนั้น ใจเป็นต้นเหตุของความสุข ความเจริญทั้งมวล ในชีวิตนี้ควรฝึกฝนใจและให้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะนอกจากเป็นแหล่งที่มาของบุญแล้ว ยังนำมงคลทั้งหลายมาสู่ตนเองด้วย





1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

Gta 3.0 Review (Google Play) - VCR Video
Gta 3.0 youtube to mp4 Review. In this article, we'll explain why it was so good. The biggest problem with this is that it uses the “Genesis